วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

งานศพ...ขนหัวลุก


ที่ จริงดิฉันไม่เคยรังเกียจรังงอนการไปงานศพมาก่อน ตรงกันข้าม กลับถือว่าเป็นงานสำคัญที่จำเป็นยิ่งกว่างานวันเกิดวันเงย หรืองานแต่งงานเสียด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นการไปอโหสิกรรมต่อกัน ล่ำลากันตามประสาญาติสนิทมิตรสหายเป็นครั้งสุดท้าย

แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง...เรียกว่าชวนให้ขนลุกขนพองสุดขีดก็แล้วกันค่ะ ที่ทำให้ดิฉันไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในงานศพใดๆ อีกเลย นับเวลาได้ราวสิบปีเศษมาแล้ว

งานศพของเพื่อนรุ่นน้องบริษัท เดียวกัน พ่อแม่จัดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดอภิธรรมขึ้นที่วัดหัวลำโพงนี่เอง ถือว่าเป็นวัดกลางใจเมือง ตอนนั้นรถราก็ยังไม่ติดขัดหรอกค่ะ ถ้าเลยชั่วโมงเร่งด่วนไปแล้ว และวัดทั่วๆ ไปก็ไม่รีบร้อนสวดศพกันตั้งแต่หัววันเหมือนอย่างปัจจุบัน

พงษ์เทพ อายุ 35 ปี หน้าตาไม่ขี้ริ้ว มนุษยสัมพันธ์ดีมาก มีอารมณ์ขันและช่างพูด ช่างคุย ทำให้เพื่อนฝูงได้หัวเราะกันเป็นประจำ ใครมีปัญหาชีวิตจนหน้านิ่วคิ้วขมวด พอได้ฟังพงษ์เทพพูดคุยก็หายเครียดได้พะเรอ

ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคนที่มีรสนิยมเพศเดียวกัน แต่พงษ์เทพก็ยังไม่มีแฟนซักที ถ้ามีใครถามก็ยิ้มฟันขาว พูดติดปากอยู่สองคำ

"เนื้อคู่ยังไม่เกิด" กับ "พี่ช่วยหาแฟนให้ผมซักคนซีฮะ"

ต่อ มาไม่นาน พวกเราก็ต้องยอมรับว่าเป็นโชคดีทั้งของพงษ์เทพ กับผู้หญิงที่จะมาเป็นคนรัก...เป็นภรรยาในอนาคต เพราะพงษ์เทพเสียชีวิตด้วยรถยนต์เมื่อเพื่อนชวนไปดูที่ดินเพื่อซื้อ-ขายเก็ง กำไรที่ชลบุรี ในยุคฟองสบู่กำลังเฟื่องฟู

ถ้าพงษ์เทพแต่งงานแล้ว คิดว่าเขาคงนอนตายตาไม่หลับแน่เพราะห่วงบุตรภรรยา และฝ่ายหญิงที่อาจจะเพิ่งตั้งครรภ์ ต้องประสบกับความวิปโยคโศกเศร้าปานใด?

แต่เมื่อไม่มีเรื่องเศร้าซ้ำสอง งานศพของพงษ์เทพก็ทำให้เกิดเรื่องสยอง น่าขนหัวลุกโดยไม่มีใครนึกฝัน!

ดิฉัน กับเพื่อนๆ ไปฟังสวดอภิธรรมทุกคืน พ่อแม่ของผู้ตายใจแข็งเหลือเกินทั้งๆ ที่มีลูกชายคนเดียว นั่งพนมมือฟังพระสวดด้วยท่าทางสงบนิ่ง พวกเราเข้าไปยกมือไหว้ก็ฝืนยิ้มรับไหว้ ขอบอกขอบใจที่อุตส่าห์มากันทุกคืน...อรสากับเพ็ญพรถึงกับหันมาซับน้ำตากับ ดิฉัน พึมพำเสียงเครือว่า...ถ้าเป็นเราคงจะขาดใจตายตามลูกไปแล้ว

คืนแรก พี่แหม่ม-หัวหน้าเราที่ออกมาจากบริษัทที่รัชดามางานพร้อมๆ กันก็เจอดีเข้าอย่างจัง

พวก เราจุดธูปไหว้ศพแล้วออกมานั่งที่เต็นท์หน้าศาลา พี่แหม่มนั่งคู่กับพ่อแม่พงษ์เทพ...แต่พอสวดเสร็จจบแรก พี่เขาก็ขอตัวมานั่งสมทบกับพวกเรา มีการเสิร์ฟเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ดิฉันกับเพื่อนๆ กำลังถือถ้วยตักเกี๊ยวใส่ปาก ส่วนพี่แหม่มขอแต่น้ำเย็น...เอียงหน้าเข้ามาบอกว่า

"นั่งในศาลาไม่ไหว...พงษ์เทพในรูปยิ้มให้พี่ตั้งหลายครั้ง!"

ดิฉัน หวิดสำลัก เพ็ญพรกับอรสาร้องวี้ดว้ายเบาๆ แถมปล่อยถ้วยปล่อยช้อนร่วงลงพื้นซีเมนต์เพล้งๆ จนคนอื่นๆ หันมามอง...ต่างคนต่างเหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก บรรยากาศแสนจะเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

คืนต่อมามีคุณ ป้าหกสิบเศษ รูปร่างอวบอ้วน ผิวขาว แต่งตัวเนี้ยบ เครื่องประดับวูบวาบ มาดคุณหญิงของแท้...มีลูกๆ หลานๆ คอยตามประคับประคอง พ่อแม่พงษ์เทพออกมายกมือไหว้นอบน้อม...เชื้อเชิญให้เข้าไปไหว้พระ แต่คุณป้าชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"ลูกชายเมื่อตะกี้หายไปไหนแล้วล่ะ?"

พ่อ แม่พงษ์เทพมองหน้ากัน ก่อนจะเรียนคุณป้าว่ามีลูกชายคนเดียว แต่ท่านยืนยันว่าพอลงจากรถมาถึงหน้าศาลาก็มีหนุ่มหน้าตาดีออกไปยกมือไหว้ ต้อนรับ

"พี่ไม่ได้ตาฝาดนะ...หน้าตาเหมือนพ่อพงษ์เทพเป็นพิมพ์เดียวกัน หรือว่า..."
เสียง คุณป้าขาดหายไปเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ที่ว่าจะเข้าไปไหว้พระเป็นอันว่าล้มเลิก แต่นั่งแปะลงที่เก้าอี้ในเต็นท์ หน้าตาขาวซีด ลูกๆ หลานๆ รีบคว้ายาหอมยาดมมาให้จ้าละหวั่น...ท่านจะเป็นลมน่ะซีคะ!

คืน สุดท้าย คุณลุงคนหนึ่งลุกจากศาลาเมื่อพระสวดจบที่สอง ใครถามว่าจะไปห้องน้ำใช่ไหม? แต่คุณลุงบอกว่าจะกลับบ้าน ไม่รอให้พระสวดจบแล้ว สาเหตุเพราะพงษ์เทพในรูปถ่ายหน้าโลงน้ำตาไหลพรากจนท่านทนดูไม่ไหว
ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ...ตอนที่เราออกจากงานศพมาขึ้นรถไล่ๆ กับแขกคนอื่นๆ ดิฉันกำลังสตาร์ตเครื่อง เพ็ญพรกับอรสาที่มาเบียดกันอยู่ข้างหน้าพูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ว่า...พี่ดาคะ พงษ์เทพมาส่งเราค่ะ...
ดิฉัน หันขวับ...แม้แต่ว่าเป็นภาพเลือนๆ ก่อนจะจางหายไป แต่ก็ยังจำได้ว่านั่นคือพงษ์เทพแน่นอน...แล้วใครจะกล้าไปงานศพอีกล่ะคะ? โธ่... 


ขอบคุณข้อมูล hyper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น